ผู้เขียน: คุณปุ๊ก
Nov. 24, 2021
สวัสดีค่ะ ปุ๊กนะคะ ปุ๊กเป็นนักเขียนอิสระมาได้สิบกว่าปีแล้วค่ะ
เมื่อก่อนมีรับงานเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คบ้างแต่ตอนนี้ปุ๊กเขียนนิยายอย่างเดียวเพราะเป็นงานที่สนุกที่สุด
และเชื่อไหมคะว่าแทบทุกครั้งที่มีคนทราบว่าปุ๊กเป็นนักเขียนนิยาย
7 ใน 10 คนมักจะตอบกลับมาว่า ‘เขาก็อยากเป็นนักเขียนเหมือนกัน’
ทำให้ปุ๊กได้รู้ว่าการเป็นนักเขียนเป็นอาชีพที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันมากเลยทีเดียว
เพราะมองว่าเป็นงานอิสระ ทำจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ ไม่ต้องมีเวลาออฟฟิศมากำกับ
ยิ่งบางคนเห็นปุ๊กหิ้ว LABTOP เครื่องเดียวไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟ
ก็ยิ่งเชื่อว่าการเป็นนักเขียนนี่มันสบายและชิลดีจังเลย
ก็อยากจะบอกว่า…พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอกค่ะ
เพราะชีวิตของปุ๊กก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ อยากจะนอนหรือตื่นเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องออกไปสู้รบเจอรถติด
ถ้าวันไหนเบื่อบรรยากาศในบ้าน ก็ออกไปหาร้านกาแฟบรรยากาศดี ๆ กลิ่นหอม ๆ นั่งทำงาน
ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่ามันอิสระมากจริง ๆ และปุ๊กก็ทำอย่างนั้นมาสิบกว่าปี
เรียกได้ว่าเขียนหนังสือเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาจนเรียนจบมหาวิทยาลัย
ยิ่งหลายปีหลังมานี้ตลาดนิยายออนไลน์เฟื่องฟูปุ๊กก็ยิ่งปักหลักเขียนหนังสืออย่างไม่มีวันหยุด
เพราะนี่เป็นงานอิสระ ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความขยัน ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ไม่ต้องคอยยุ่งวุ่นวายกับใครนอกจากมีวินัยกับตัวเองให้ได้เท่านั้นก็พอ
แต่เห็นสบาย ๆ แบบนี้ จริง ๆ แล้วก็คงเหมือนอีกหลายอาชีพนั่นแหละค่ะที่เบื้องหน้ากับเบื้องหลังก็มีความแตกต่างกัน
แม้จะเหมือนงานสบาย แต่อย่างที่บอกว่ายิ่งทำมากได้มาก
ก็เลยมีช่วงหนึ่งที่ปุ๊กโหมทำงานเยอะมากจนแทบไม่เคยละสายตาไปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เลย
เรียกได้ว่าจะหยุดมองจอก็แค่ตอนหลับเท่านั้น เพราะขนาดตอนเข้าห้องน้ำก็ยังพกโทรศัพท์เข้าไปดูไปอ่านอีบุ๊คด้วย
เรียกได้ว่าตาแทบจะติดกับหน้าจอฯ เลย ทั้งจอคอมและจอมือถือ
แม้รู้ดีอยู่แล้วว่า เราควรพักสายตาทุก 30 นาที
ควรกินอาหารดี ๆ ที่บำรุงสายตา ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้
แต่ปุ๊กคิดว่าก็คงเหมือนอีกหลาย ๆ คนคือเรารู้ว่าอะไรดี
แต่เพราะอายุยังน้อย ไม่เคยเจ็บป่วยหนัก ๆ ก็เลยทำให้ชะล่าใจคิดว่าร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ เขาจะทนทานเหมือนเหล็กไหลไปได้ตลอด
จนมีช่วงหนึ่งค่ะที่ปุ๊กรับงานให้กับสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง
เป็นงานเขียนข่าว รีไรท์ข่าว อ่านข่าว แปลข่าว เรียกได้ว่าทุกวันต้องอยู่กับตัวหนังสือทั้งบนกระดาษและหน้าจอคอมพิวเตอร์
บางวันก็ทั้งเขียนทั้งรีไรท์กันไปยาว ๆ ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ จนข้ามไปเช้าอีกวันก็มี
ซึ่งตอนนั้นรู้สึกสนุกกับงานมากจนลืมความเหนื่อย และเพราะคิดว่าร่างกายเรายังไหว
ถ้าวันไหนล้า ๆ ก็แค่หาอะไรกินโด๊ปไปตามเรื่อง
แต่ก็ช่วงนั้นนั่นแหละค่ะที่เริ่มสังเกตตัวเองว่า
เวลามองหน้าจอคอมฯ เราต้องเพ่งสายตามากกว่าปกติ เพราะตัวหนังสือมันพร่า ๆ มัว ๆ และบางทีก็ซ้อนกันจนต้องเผลอขยี้ตาบ่อย ๆ
ยิ่งช่วงทำงานกลางคืนยิ่งมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด แต่ก็คิดว่าเราอาจจะแค่ง่วงนอน หรือไม่ก็ต้องไปตัดแว่นใหม่ ไม่ได้เอะใจถึงปัญหาอื่น ๆ เลย
แต่มันก็เริ่มเกิดอาการที่เราไม่เคยเป็น นั่นคืออาการที่เรียกว่าตาแห้งค่ะ
คือ ปกติเวลาคนเราตื่นนอน ก็จะลืมตาได้เป็นปกติใช่ไหมคะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับปุ๊กก็คือ จะรู้สึกเหมือนมีผงอะไรอยู่ในตาตลอดเวลา เปลือกตาฝืด ๆ
เคยหนักสุดคือลืมตาแทบไม่ขึ้นเพราะมันตาแห้งมาก ไม่มีน้ำตาหล่อเลี้ยงอยู่ในดวงตาของเราเลย
และแม้จะฝืนลืมตามานั่งทำงานได้ ก็ต้องเพ่งสายตาหนักกว่าเดิม
จากที่ปกติก็ใส่แว่นอยู่แล้วแต่นี่ไม่ว่าจะถอดแว่นหรือใส่แว่น ก็มองทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ตัวหนังสือซ้อนกัน ต้องหยีตาจ้องหน้าจอ
จนมีแต่คนทักว่าหน้าเครียดไปนะ ที่จริงเราไม่ได้เครียดหรอกแต่เราย่นหัวคิ้วเพราะเรามองเห็นไม่ชัดต่างหาก และก็จะระคายเคืองหรือคันลูกตาเป็นพัก ๆ จนอดไม่ได้ที่จะต้องขยี้ตาแรง ๆ (ทั้งที่รู้ว่าไม่ดี แต่มันคันตาสุด ๆ จนอดไม่ได้ต้องขยี้)
รวมไปถึงมีอาการตาแพ้แสง ไม่สามารถสู้แสงแดดแรง ๆ หรือลมแอร์ได้
หนักจนกระทั่งแม้แต่แสงหน้าจอคอม ทำให้ไม่สามารถนั่งทำงานต่อเนื่องได้นาน ๆ เพราะจะมีอาการเคืองตา แสบตา
หากฝืนทำต่อก็จะมีน้ำตาที่ไหลซึมออกมาเลย แถมไม่สามารถโฟกัสสายตาในเวลาแสงน้อยได้อีก
ยิ่งทำให้เริ่มกังวลกับอาการต่าง ๆ เหล่านี้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
ตอนนั้นปุ๊กก็พยายามใช้ความรู้ที่เคยได้เรียนมาว่าอาหารชนิดใดที่มีวิตามินเอบำรุงสายตา ก็เน้นกินสิ่งนั้นเป็นพิเศษ
แต่ก็ทำไม่ได้ทุกมื้อหรอกเพราะเราก็มีเวลากินแค่ข้าวราดแกงนั่นแหละ จะไปเลือกอะไรได้มากล่ะจริงไหม
ก็เลยขยับไปหาตัวช่วยอื่น ๆ พวกเครื่องดื่มตามร้านค้าที่โฆษณาในทีวีว่าดี ปุ๊กก็ซื้อมากินเยอะมากจนเอาขวดไปชั่งขายได้หลายสิบบาท แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไร
ก็เลยต้องใช้วิธีที่เร่งด่วนกว่า คือไปร้านขายยาเพื่อซื้อน้ำตาเทียมมาหยอด
และกลายเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้ อ่านแก้งานไปได้สักไม่กี่หน้าก็ต้องคอยหยอดตาเป็นระยะ
ตอนนั้นถึงขั้นคิดเรื่องขอยกเลิกสัญญาการทำงานเลยเพราะสายตาเรามันสู้กับการอ่านตัวหนังสือเยอะ ๆ ไม่ไหวแล้ว
หลังจากที่ฝืนมาได้สักระยะในที่สุดปุ๊กก็ยอมไปหาจักษุแพทย์จนได้
ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าอาจจะมีอาการของต้อลม หากทึ้งไว้นานกว่านี้ ควรรีบแก้ไขก่อนจะหนักกว่านี้
คุณหมอก็แนะนำให้เราหาอะไรอุ่น ๆ มาประคบดวงตาเพื่อให้ต่อมไขมันทำงานดีขึ้น
และยังให้น้ำตาเทียมมาใช้ 2 แบบ คือกลางวันเป็นแบบน้ำ และกลางคืนเป็นแบบเจล (เข้มข้นกว่าแบบน้ำ)โดยต้องปลิ้นเปลือกตาลงแล้วป้ายเจลนั้นก่อนนอนทุกคืน
ทุกคืนที่ปุ๊กต้องปลิ้นเปลือกตาแล้วป้ายเจล
ก็ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเราปล่อยปละละเลยอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างดวงตามาได้ถึงเพียงนี้นะ
ในที่สุดปุ๊กก็ต้องเลือก…และปุ๊กเลือกขอหยุดทำงานทั้งงานที่สถานีโทรทัศน์และปฏิเสธงานเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คที่มีคนติดต่อมา เพราะสายตาเราไม่ไหว
กิจกรรมที่เรารักมากอย่างการอ่านและเขียนนิยายก็ต้องพักไปโดยปริยายด้วยเช่นกัน
ช่วงนั้นถึงขั้นคิดวางแผนแล้วว่าถ้าวันไหนเราเกิดมองไม่เห็นจริง ๆ แล้วเราจะใช้วิธีไหนในการอ่านและเขียนหนังสือ…คิดไปไกลถึงขนาดนั้นแล้วล่ะค่ะ
แต่ช่วงที่เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ อยู่ตอนนั้น รุ่นพี่ในแวดวงนักเขียนก็ติดต่องานเข้ามาอีก
แต่ปุ๊กก็บอกปัญหาของปุ๊กไปว่าตาแห้ง อยากจะพักการใช้สายตาหนัก ๆ ไว้ก่อน
ปุ๊กก็บอกไปว่าพยายามกินผักผลไม้ที่มีวิตามินเอเยอะ ๆ
แต่ก็ไม่รู้ต้องกินอีกกี่ร้อยกี่พันกิโล เจ้าอาการตาแห้ง ตาพร่ามัว เห็นอะไรไม่คมชัดมันถึงจะกลับมาดีขึ้น
รุ่นพี่เลยบอกว่ากินอาหารดี ๆ ก็ดีแล้ว แล้วก็ยื่นกล่อง Luta มาให้ปุ๊ก
“อะไรคือลูต้า” ถามเพราะตอนนั้นยังไม่รู้จักจริง ๆ
พี่เขาก็บอกว่าเป็นนวัตกรรมใหม่จากอเมริกา ปลอดภัย เค้าทานเองเเล้วดีขึ้น อยากให้ลองกินดู
พอได้ลองแกะกล่องดู แค่ตัวกล่องปุ๊กก็รู้สึกถึงความพรีเมียมแล้ว
ข้างในมี 30 แคปซูล บนหน้ากล่องก็เขียนชัดเจนเลยว่ามีส่วนผสมของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 2 ชนิด
คือ บิลเบอร์รี่และมากิเบอร์รี่ (โอ้โห อุทานในใจ เพราะเราเคยหาข้อมูลเรื่องนี้มาก่อน เลยรู้จักชื่อเบอร์รี่ 2 ชนิดนี้ และรู้ว่าไม่ใช่ผลไม้ที่จะสามารถหาซื้อกินตามท้องตลาดได้ง่าย ๆ)
ตัวบิลเบอร์รี่เขาช่วยเรื่อง ความเสื่อมของเซลล์ ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
ช่วยบำรุงอาการตาบอดกลางคืน ช่วยอาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานาน ๆ
ส่วนสารสกัดจากมากิเบอร์รี่ ตัวนี้เขาขึ้นชื่อเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ (สาเหตุของความเสื่อมถอยของร่างกายและเลนส์ตาเรานั่นแหละ)
ตัวนี้ช่วยต้านอาการอักเสบ บรรเทาอาการตาแห้งและบรรเทาความเมื่อยล้าจากการใช้สายตาได้ด้วย
ไม่เพียงแค่เบอร์รี่สองตัวนี้ที่ WOW มาก ยังมี “ลูทีน” ที่เมื่อปุ๊กลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงรู้ว่า LUTA เลือกใช้ลูทีนเกรดดีที่สุดจากอเมริกา
ไม่ใช่แค่ชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา แต่ยังช่วยกรองแสงสีฟ้าได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะมาก ๆ เพราะปุ๊กทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ
(และใครที่ชอบเล่นโทรศัพท์มือถือ ก็ควรต้องกินตัวนี้มาก ๆ เพราะแสงสีฟ้าหน้าจอโทรศัพท์เป็นอันตรายต่อดวงตาของเรามากเหมือนกันนะคะ ใครที่ชอบเล่นโทรศัพท์ในที่มืด ๆ นี่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเร่งด่วนเลยนะ)
แค่ส่วนผสมสามตัวนี้ปุ๊กก็แทบจะแกะใส่ปากกินเดี๋ยวนั้นแล้ว
แต่หน้ากล่องยังมีส่วนผสมอื่น ๆ ระบุไว้อีก
ก็เลยลองเสิร์ชหาดู แม่เจ้าโว้ย… มีแต่ส่วนผสมเจ๋ง ๆ อย่างเช่น Omega 3 (โอเมก้า 3), Zinc Amino Acid (ซิงค์), Fish Oil (น้ำมันปลา) จากนอร์เวย์
ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยกันดูแลและปกป้องสายตาเราได้แบบครบวงจรเลยล่ะแม่คุณ
ได้มาวันแรกปุ๊กก็เลยลองกินทันทีไม่มีรีรอ ตามคำแนะนำคือแค่วันละ 1 เม็ดหลังอาหาร (หรือบางคืนก็ก่อนนอน)
ต้องบอกก่อนว่าตอนที่ได้อาหารเสริมตัวนี้มานั้น ปุ๊กหยุดใช้น้ำตาเทียมไปสักพักแล้วเพราะอยากให้ดวงตาค่อย ๆ ผลิตน้ำตาออกมาได้เอง จะใช้น้ำตาเทียมตลอดไปคงไม่ดีเลยหยุดใช้
และพอเริ่มกิน LUTA ก็เริ่มรู้สึกได้เลยว่าเวลาตอนนอนอาการระคายเคืองตาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
สามารถกระพริบตาได้สบาย ๆ โดยไม่แสบตา
แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ เวลาปุ๊กเปิดคอมฯ พิมพ์นิยาย ตัวหนังสือที่เคยพร่ามัว ตัวซ้อน ๆ กัน มันไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
ไม่ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเพ่งจอจนต้องเอาหน้าไปชิดจอคอมฯ เหมือนเคย
อาการแสบตา ตาแพ้แสง แพ้ลม ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ตอนต้องเดินทางในเวลากลางคืน เราก็สามารถมองเห็นป้ายต่าง ๆ ช่วยบอกทางเพื่อนได้ ไม่ต้องนั่งข่มตาให้หลับไปแบบแต่ก่อน
นี่คือสิ่งที่ปุ๊กดีใจที่สุด เพราะได้กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองรักมาก ๆ อย่างการอ่านและการเขียนนิยาย
และก็เริ่มกลับมารับงานเขียนได้อีกครั้ง สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติแบบเดิม
เรียกได้ว่าโอกาสดี ๆ ที่เคยต้องหลุดลอยไปเพราะสุขภาพดวงตาเราไม่เอื้ออำนวย
ก็สามารถกลับมาได้อีกครั้งเพราะตัวของ LUTA นี้เลยล่ะค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผู้เขียน: คุณปุ๊ก